วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

อย่าได้พลาด ! หนังดี...มีแรงบันดาลใจ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ? ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ปกติดิฉันจะชอบพักผ่อนด้วยการดูหนัง และหนังที่ดิฉันชอบดู เมื่อได้ดูทุกครั้งจะเกิดแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจอย่างมาก นั่นก็คือ หนัง 3 เรื่องต่อไปนี้ ต้องบอกก่อนนะค่ะว่า ไม่ได้เป็นหนังไทย แต่เป็นหนังต่างประเทศ ชาวอเมริกันเป็นดารานำแสดงทั้งหมด เมื่อดูแล้วทำให้พลังมากขึ้นจริงๆ และเป็นสิ่งสำคัญมากในสภาวะเศรษฐกิจดิ่งต่ำอย่างนี้ และการแข่งขันมีสูง ทำให้หลายคนท้อแท้หมดหวัง ขาดกำลังใจ เบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะผ่านจุดต่ำสุดของวิกฤติการเงินนี้ไปได้ บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวมีหนี้สินมากมายจากทำธุรกิจ MLM ที่โดนหลอกลวง ล้มเหลว ซึ่งสุดท้ายแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด

การสร้างแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยกระตุ้นและสร้างไอเดียได้ไปในตัว แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากให้รักษาให้ดีคือ " กำลังใจ " สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลายคนมีกำลังใจดีพร้อมลุกขึ้นสู้ในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง แต่มักมีปัญหาในใจตามมาอีกอย่างว่าจะทำอะไรดีต่อไปดี การสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นจึงสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยกระตุ้นและสร้างไอเดียให้เกิดขึ้นได้พร้อมกัน หลายคนใช้การท่องเที่ยวเพื่อสร้างไอเดียให้เกิดขึ้นโดยหาแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ได้พบเห็นตามสองข้างทางที่ได้พบเห็นที่ได้ไปเยือน บางคนอ่านหนังสือเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ แต่ยังมีอีกสิ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ไม่แพ้กัน นั่นคือ การดูหนัง การดูหนังนั้นถือว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจได้ดีที่สุดวิธีหนึ่งเลยทีเดียว การดูหนังนั้นนอกจากให้สาระ ความรู้และข้อคิดแล้ว บางครั้งยังช่วยเปิดมุมมองด้านต่างๆ ที่เราอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน นอกเหนือจากนี้นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนยังดูหนังเพื่อสร้างมุมมองและแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจอีกด้วย
เรื่องที่ หนึ่ง ขอแนะนำคือ Jerry Maguire 
ภาพยนตร์เีรื่องนี้ออกฉายเมื่อ ค.ศ.1996 เรื่องราวพูดถึงตัวเอกเรื่องเจอร์รี่ แมไกวร์ (รับบทโดยทอม ครูซ) ซึ่งเป็นตัวแทนนักกีฬาชื่อดังหลายคนประจำบริษัทเอเจนซี่หนึ่ง เขามีหน้าที่การงานใหญ่โตและอนาคตรุ่งเรือง มีเงินมากมาย ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวสำหรับเขา จนคืนหนึ่งเขานอนหลับและฝันว่าอาจารย์ที่เคยสอนตอนมหาวิทยาลัยมาเข้าฝันและบอกให้เขาทำสิ่งถูกต้องมากกว่าจะทำเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว เขาสะดุ้งตื่นขึ้น แล้วรีบเขียนหนังสือตลอดทั้งคืนเกี่ยวกับ ข้อความพันธกิจ (Mission Statement) โดยเสนอให้บริษัทลดจำนวนนักกีฬาที่ดูแลเพื่อเน้นความใกล้ชิดระหว่างนักกีฬาผู้เป็นลูกค้ากับตัวแทนนั่นก็คือบริษัท เขาทำสำเนาแจกทุกคนในบริษัท และทุกคนก็ชื่นชมแนวความคิดของเขา แต่เขากลับถูกไล่ออกทันที เขาจึงออกมาตั้งธุรกิจเองโดยมีนักกีฬาเพียงคนเดียว เขาก็เริ่มดำเนินกิจการการตามอุดมการณ์ที่ได้วางไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีมุมมองและแรงบันดาลใจมากมาย เช่น ในเรื่องการดำเนินธุรกิจ การไม่ควรเห็นคุณค่าของเงินมากกว่าอุดมการณ์ในการดูแลนักกีฬา สอนให้รู้จักการใช้หัวใจในการทำงาน นึกถึงใจเขาใจเรา ความสำเร็จไม่ได้เป็นคำตอบของชีวิตเสมอไป และการพร้อมเริ่มต้นใหม่เสมอ
 
เรื่องที่ สอง ขอแนะนำคือ Pursuit of Happyness
เรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดยวิล สมิธ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคริส การ์ดเนอร์ผู้ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพียงลำพังหลังภรรยาได้ทิ้งกับกับลูกชายวัย 5 ขวบไป ปล่อยให้เผชิญสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่กันเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้น เขากัดฟันทำทุกอย่างเพื่อสู้กับความยากจน หลายครั้งต้องพาลูกไปนอนตามที่ต่างๆ เหมือนพวกคนเร่ร่อน ในกระเป๋าสตางค์มีเงินติดเหลืออยู่แค่ 1 ดอลลาร์ แต่เขามีความขยันอดทนและฉลาด เขาเพียรทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกชาย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และวันหนึ่งเขาเกิดไอเดียว่าควรทำงานด้านการเงิน จึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นโบรกเกอร์ในบริษัทแห่งหนึ่ง และต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างจนกระทั่งกลายมาเป็นสุดยอดนักขายระดับตำนานของอเมริกา ซึ่งจากเนื้อเรื่อง เราจะได้เห็นความอดทนและความพยายามอย่างหนักเพื่อการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาไม่เคยท้อ แม้บางครั้งต้องแอบเข้าไปนอนในห้องน้ำสาธารณะก็ตาม และเมื่อโอกาสมาถึงเขาก็รีบฉวยเอาไว้ พยายามเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณสามารถนำมาปรับใช้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักธุรกิจเครือข่าย MLM

เรื่องที่ สาม ขอแนะนำคือ The Hudsucker Proxy
ภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ที่ให้ข้อคิดดีๆ ออกฉายเมื่อปี ค.ศ.1994 นำแสดงโดยทิม ร็อบบินส์ เป็นเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่บุคลิกภายนอกดูเฉิ่มๆ และไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไรนัก วันหนึ่งเขาจับผลัดจับผลูได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทคนใหม่แทนคนเก่าที่เสียชีวิตไป เขาต้องพาบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ฝ่าพ้นวิกฤติไปให้ได้ ท่ามกลางการดูถูกของคนรอบข้างที่พร้อมจะแทงข้างหลังตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เขายึดมั่นมาไม่เคยเสื่อมคลายนั่นก็คือ ไอเดียผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งที่หลายคนดูถูกและไม่เข้าใจในสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นรูปวาดกลมๆ ในกระดาษพร้อมความอธิบายสั้นๆ ว่าใช้เพื่อความสนุก แม้หลายคนจะต่อต้าน แต่เขาก็ยังคงยืนยันให้ดำเนินการผลิตต่อไป เมื่อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกขายช่วงแรกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาถูกโจมตีมากกว่าเดิมจนเกือบถูกปลดจากตำแหน่งประธานบริษัท แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เริ่มทำค้นหาว่าเพราะเหตุใดผลิตภัณฑ์ที่เขามั่นใจว่าดีกลับยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที จนกระทั้งรู้ว่าเพราะผู้คนยังไม่เข้าใจวิธีการเล่น เขาจึงแก้ไขด้วยการโฆษณาและสาธิตวิธีเล่น จนในที่สุดผลิตภัณฑ์ของเขาก็ได้รับการยอมรับและกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และสิ่งนั้นก็คือ “ฮูล่าฮูป” ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แรงบันดาลใจเรื่องการกล้าคิด แม้สิ่งนั้นจะแตกต่างจากความคิดผู้คนทั่วไปก็ตาม และความยึดมั่นในความคิดของเรา พร้อมทั้งการยอมรับและพร้อมปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หลายครั้งที่อุปสรรคเป็นฝ่ายเข้ามาทดสอบว่าเราพร้อมจะเป็นผู้ชนะหรือไม่

จากทั้ง 3 เรื่องนี้ที่ดิฉันได้นำเสนอมาจะเห็นได้ว่า ภาพยนตร์แต่ละเรื่องสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นสู่กับสภาวะและสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะต้องไม่ยอมแพ้และถอดใจเสียก่อน เพราะหลายครั้งที่อุปสรรคมักเป็นฝ่ายเข้ามาทดสอบตัวเราเสมอว่าพร้อมจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขอเป็นกำลังใจให้นักธุรกิจ MLM เสมอค่ะ

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

MLM ขยันผิดหมดสิทธิ์ ร..ว..ย

ความขยันบางคนมีได้ มีมาก มีตลอดชีวิต แต่ถ้าขยันแบบผิดๆ หล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา ที่ผ่านดิฉันเชื่อว่าคุณๆ ทั้งหลายต้องเคยได้รับอีเมล์เชิญชวนให้เข้าร่วมธุรกิจสร้างรายได้หลักหมื่นหลักแสนกันถ้วนหน้า และในอีเมล์เหล่านั้นก็จะเต็มไปด้วยคำพูดและประโยคที่เร้าอารมณ์ กระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม และต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่น่าจะดีกว่า รวดเร็วกว่า หนึ่งในประโยคยอดฮิตที่เห็นเป็นประจำ คือ " ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย " เรามาลองวิเคราะห์กันว่า การขยันผิดที่นี่มันเป็นอย่างไร ทำไมขยันแล้วถึงไม่รวย ? ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องมีหากคุณต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆคือ "ความขยัน" ความขยันคือ การเอาใจใส่ ตั้งใจทำ ทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เลิกล้มง่ายๆ ทุ่มเทเวลาทั้งพลังกายและพลังความคิดให้กับสิ่งนั้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการสร้างรายได้ คำว่า "สิ่งนั้น" คือ ปัจจัยที่จะบอกว่าคุณจะมีรายได้เยอะขนาดไหน หากคุณสามารถสร้างรายได้ 200 บาทต่อวันจากการทำสิ่งนั้น โดยคุณก็ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับมัน และก็ไม่มีทีท่าว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นง่ายๆ ก็ประมาณการได้ว่าในหนึ่งเดือน คุณจะมีรายได้ 6,000 บาทเท่านั้น หากคำว่ารวยของคุณคือมีรายได้เดือนละอย่างน้อย 30,000 บาท แบบนี้ก็เรียกได้ว่าคุณขยันผิดที่ซะแล้ว แต่หากว่าสิ่งนั้นที่คุณกำลังทำ สร้างรายได้ให้คุณวันละ 1,000 บาท ตกเดือนหนึ่งๆแล้วคุณก็มีรายได้เหนาะๆ 30,000 บาท โดยคุณก็ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับสิ่งนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีทีท่าว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นง่ายๆ แต่ก็ถือได้ว่าตอนนี้คุณขยันถูกที่แล้ว และถ้าคุณทุ่มเททำบางสิ่งบางอย่างและบางสิ่งบางอย่างนั้นสร้างรายได้ให้คุณมากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย ก็ถือได้เลยว่าคุณขยันถูกที่จริงๆ

หากคุณขับมอเตอร์ไซต์รับจ้างตามหน้าปากซอย ทำงานทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงดึกดื่นมืดค่ำ คุณก็มีรายได้ไม่เท่าคนที่เป็นหมอที่ทำงานตั้งแต่เข้าตรู่จนถึงดึกดื่นมืดค่ำ ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นหมอตามโรงพยาบาลของรัฐ หากทำงานหนักเท่ากัน ก็มีรายได้น้อยกว่าคนที่เป็นหมอในโรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างมากเลยทีเดียว คนที่ขยันและฉลาดในเรื่องที่ตัวเองทำเพื่อสร้างรายได้ มักจะประสบความสำเร็จในสายงานของตัวเอง แต่เพดานรายได้ของแต่ละสายงานนั้นไม่เท่ากัน ถ้าคุณอยากรวย คุณต้องเลือกว่าจะทำงานในสายงานไหนเพื่อสร้างรายได้ และแน่นอนว่าการทำธุรกิจก็คือหนึ่งในสายงานที่เพดานรายได้สูงลิ่ว ข้อดีข้อหนึ่งของการประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจก็คือ คุณจะมีรายได้มากมายและมีเวลาใช้เงิน แต่มีข้อแม้ว่าธุรกิจนั้นต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีระบบการจัดการที่ดีซึ่งธุรกิจประเภทนี้ทำยากมากและใช้เงินทุนสูง อย่างไรก็ตามธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีระบบการจัดการที่ดีและไม่ต้องใช้เงินทุนสูงแต่สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลก็ยังมีอยู่ ธุรกิจที่ว่าก็คือ ธุรกิจเครือข่าย แต่ก็ใช่ว่าธุรกิจนี้จะง่าย ใครทำก็สำเร็จ คนที่จะประสบความสำเร็จก็ยังคงเป็นคนที่ฉลาดเลือกและทำสิ่งที่เลือกอย่างขยันขันแข็ง

ความสำเร็จหลักๆ ของการทำธุรกิจคือ ตัวเงินที่คุณทำได้ในแต่ละเดือนหรือแต่ละปี หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณต้องมีคือ "ความขยัน" แต่คนที่จะรวยไม่ใช่คนที่ขยันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นคนที่ "ฉลาด" ด้วย ฉลาดคิดและตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจเครือข่ายของบริษัทไหน ฉลาดคิดและตัดสินใจว่าจะร่วมทีมกับใคร ฉลาดคิดและตัดสินใจว่าจะดำเนินธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแบบไหน ออนไลน์ หรือออฟไลน์ดี การทำธุรกิจเครือข่ายคือ การทำงานที่ทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาล เป็นงานที่ทำให้คุณสามารถมีรายได้หลักหมื่นหรือหลักแสนได้ไม่ยากหากคุณ "ขยัน" และ "ฉลาด

การขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย เป็นเรื่องจริง ต่อให้ขยันทำธุรกิจเครือข่ายกับบริษัทที่ไม่มีระบบธุรกิจที่ดี ขยันทำธุรกิจกับทีมงานที่ไม่มีระบบงานที่ดี ขยันทำธุรกิจเครือข่ายด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ต่อให้ขยันแทบตาย สุดท้ายก็อาจจะไม่รวย ต้องฉลาดคิดและเลือกด้วยว่าจะขยันทำธุรกิจเครือข่ายกับบริษัทไหน กับทีมงานใด และจะทำธุรกิจเครือข่ายของตัวเองในแบบไหน ให้เหมาะกับสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองทำได้  แต่ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ขอเพียงคุณ "ฉลาด" ที่จะเลือกว่า จะทำอะไร จะทำกับใคร และจะทำแบบไหน แล้วก็ "ขยัน" ทำในสิ่งที่ได้เลือกไป เพียงเท่านี้ความร่ำรวยและอิสระภาพทางการเงินของคุณก็เป็นความฝันที่จะกลายเป็นความจริงในอีกไม่นานนี้แน่นอน...เชื่อดิฉันสิค่ะ

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเหมือนที่ไม่เคยรู้ของ...MLM

ใครจะคิดบ้างว่า ธุรกิจ MLM นี้ก็สามารถวิเคราะห์ได้จาก จุดอ่อนจุดแข็ง ในเชิงธุรกิจเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งวันนี้ดิฉันจะมาวิเคราะห์ให้เห็นถึงจุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจ MLM นั้นกันแบบครบในรูปของ SWOT Analysis กันค่ะ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง ขอเริ่มด้วย
Strengths ( จุดแข็ง )
* มีระบบ Upline/Downline ซึ่งถ้า Upline ช่วยให้ Downline สำเร็จมากเท่าไหร่ ตัวเองก็จะสำเร็จมากขึ้น
   ด้วย  เป็นธุรกิจที่ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย
* มีการสอน ถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งธุรกิจทั่วไปคงไม่มีเจ้าสัวคนไหนใจดี
   มาสอนแบบหมดเปลือกแน่ๆ
* ไม่จำกัดรายได้  ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย สามารถ
   สร้างเครือข่ายได้ไม่จำกัด
* สามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา
* เมื่อสร้างเครือข่าย หรือระบบได้แล้ว เราเป็นเจ้าของระบบ แม้จะหยุดทำก็มีรายได้เข้ามา เพราะไม่ว่า
   เราจะทำงานอยู่หรือไม่ แต่ระบบที่เราสร้างขึ้นยังคงทำงาน
* ลงทุนต่ำมาก แค่ค่าสมัคร (คืนเงินได้ใน 90 วันถ้าจะเลิกกิจการ) ส่วนสินค้าที่ซื้อก็สามารถคืนเงินได้
   นอกนั้นเป็นค่าบริหารจัดการ เช่น ค่าเดินทาง ค่าโทร ค่าอบรม เป็นต้น
* มีความเสี่ยงต่ำมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น เพราะลงทุนต่ำ แต่ผลตอบแทนสูง และมีระบบ Support
   จากบริษัททั้งระบบการผลิต ระบบบัญชี ระบบสต็อก ระบบจัดส่ง รวมถึงการพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์
   และการตลาด ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนตรงนี้เลย (เจ้าของกิจการจะเข้าใจเลยว่า กิจการจะไปรอด ระบบ
   เหล่านี้ต้องแน่นมมากๆ ซึ่งต้องลงทุนสูงมาก)
* กิจการที่เราสร้างขึ้น สามารถสืบทอดเป็นมรดกได้ ซึ่งหลายคนตัดสินใจทำก็เพราะต้องการสร้าง
   ความมั่นคงให้รุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ
* เป็นธุรกิจที่ให้อิสระภาพทางการเงิน และเวลาได้ (ธุรกิจทั่วไป
   ส่วนมากต้องแลกระหว่างเงิน และเวลา)
Weaknesses ( จุดอ่อน )       
* คนไม่เข้าใจแล้วนำไปคิดเอง โดยไม่ศึกษา และนำไปถ่ายทอดแบบไม่ถูกต้อง ทำให้ได้ยินบ่อยๆว่า
   ระบบดี สินค้าดี  แต่ไม่ชอบคนขายที่มาตื้อจนรำคาญ
* ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจมากกว่างานปกติ เพราะธุรกิจนี้ลงทุนด้วยใจมากกว่าลงทุนด้วยเงิน
* ต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งแนวคิด สินค้า คน ต้องเข้าCenter, เสัมนาตามโรงแรมหรือต่าง
   จังหวัด, HouseMeeting  ซึ่งบางคนไม่มีเวลา และรู้สึกว่าไม่คุ้ม เพราะทำแบบ Part time เพื่อแค่ให้มี
   รายได้เสริมจากงานประจำ ซึ่งจริงๆแล้ว การทำธุรกิจนี้ อย่าลืมว่ามันเป็นธุรกิจ ไม่ใช่แค่งานขาย
   เราต้องมอง และทำแบบเป็นธุรกิจจริงๆ (ถ้าทำแบบงานขาย สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับ Saleman แล้วก็
   เลิกไปในที่สุด เพราะ Model ธุรกิจนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทำเป็นธุรกิจ) ซึ่งการจะทำธุรกิจเพื่อสร้าง
   กิจการของเราเองนั้นต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ  ศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเรียนรู้จาก
   คนสำเร็จ จะทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง
* ต้องมี Positive Thinking มากๆ  ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดี แต่หลายคนทำไม่ได้
* ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นเลิกดูละครหลังข่าว ขยันมากขึ้น หัดมีมนุษยสัมพันธ์มากขึ้น จากที่เคย
   แต่งแบบเซอร์ไม่เคยดูแลตัวเอง ต้องดูแลมากขึ้น เพราะมีผลต่อภาพลักษณ์ของเรา (ไม่มีนักธุรกิจ
   คนไหนผมเผ้ารุงรัง ใส่เสื้อยับๆไปทำงานจริงป่ะ!)  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น ต้องฝืนมากๆ
   ทำให้หลายคนต้องแพ้แก่ตัวเอง และเลิกไปในที่สุด !
* ถ้าทำไม่ถูกวิธี ไปหลอก ไปตื้อ ไปง้อ ไปอ้อนวอน ไปขอร้อง ไปบังคับเพื่อนซื้อ อาจโดนเพื่อนเลิก
   คบได้ (ปัญหานี้พบได้บ่อยกับคนที่สมัครแล้วออกไปทำเลย โดยที่ยังไม่เข้าใจหัวใจของธุรกิจจริงๆ)
* ถ้าไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ยากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะคุณจะทำแบบไร้ทิศทาง
   และสุดท้ายก็หลงทางออกนอกเส้นทางไปในที่สุด

หมดไปแล้ว 2 จุด ทีนี้มาต่อ อีก 2 อย่างในการวิเคราะห์แบบ SWOT นั่นก็คือ...
Opportunities ( โอกาส )       
* โอกาสทางธุรกิจมีความเท่าเทียม ทุกคนทำได้ ไม่จำกัดเพศ อายุ (แต่ต้องเกิน18) การศึกษา
* สามารถเริ่มต้นสร้างธุรกิจด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ ทุกคนสามารถลงทุนได้
* สามารถลองทำธุรกิจดูก่อนได้  ถ้าไม่เวิร์คจริงก็เลิกกิจการ แถมคืนเงินได้ทั้งค่าสมัครและสินค้า
* สามารถมอบโอกาสทางธุรกิจให้กับคนที่เรารัก และอยากให้ได้ในสิ่งที่เราได้เหมือนกัน
* มีโอกาสที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากผู้ที่ประสบความสำเร็จแบบหมดเปลือก ซึ่งสามารถนำมาใช้
   กับการดำรงชีวิต การทำงาน หรือนำไปใช้กับการทำธุรกิจอื่นด้วย
                                                                                     Threats ( อุปสรรค )       
* ตัวเอง นี่แหละคือ อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ความขี้เกียจ ดูถูกตัวเองคิดว่าตัวเองไม่เหมาะ ทำไม่ได้
   หรือเชื่อมั่นในตัวเองมากไป ไม่เชื่อ Upline ทำเอง จนทำผิดแนวทางที่ถูกต้อง แล้วก็เลิกไปในที่สุด
* อุปสรรคจากคนรอบข้าง ที่ไม่เข้าใจธุรกิจ และมีอคติ (ธุรกิจนี้ กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก)
* ไม่มีเวลามาศึกษาเรียนรู้ ไม่มาเข้าประชุม หรือทำธุรกิจอย่างจริงจัง

มาสรุปปิดท้ายกันอีกทีเกี่ยวกับธุรกิจนี้ว่า..ธุรกิจนี้มักมีความเย้ายวนจากรายได้ที่มากพอจะดึงดูดผู้คนให้เข้าไปสู่ธุรกิจนี้อย่างมากมาย  แต่อย่างไรก็ตามดิฉันก็ไม่แนะนำให้คุณเข้าไปศึกษาธุรกิจนี้ เพราะด้วยเรื่องเงินเป็นเหตุผลหลัก แต่ต้องเริ่มจากการให้ก่อนจะดีที่สุด เอาหล่ะค่ะ..หลังจากที่ได้รู้จุดอ่อน จุดแข็ง  โอกาส และอุปสรรค์ของธุรกิจ MLM ไปแล้วนั้น หลังจากที่ได้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว ดิฉันคิดว่า บางคนอาจคิดว่าธุรกิจแนวนี้คงไม่เหมาะกับตัวเองหรอก  แต่ดิฉันเชื่อนะว่า มีอีกหลายคนที่เริ่มมองเห็นแล้วว่า ธุรกิจนี้มันมีข้อดีที่เหนือกว่าธุรกิจอื่นยังไง และเริ่มสนใจธุรกิจนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไร  ต้องใช้อะไรบ้าง รวมถึงปัจจัยในการพิจารณาเลือกธุรกิจเครือข่ายที่ไม่หลอกลวง ให้ผลตอบแทนจริง และมีโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จได้จริงแค่ไหน เดี๋ยวนี้มันพอจะมีอะไรใหม่ในรูปแบบอะไร อย่างไร อดใจรอในตอนต่อไปนะค่ะ ขอทิ้งท้ายด้วยคำของคุณพ่อรวยสอนลูกไว้...
"คนที่รวยที่สุดในโลกมองหาวิธีการสร้างเครือข่าย..ในขณะที่คนทั่วๆไปได้เพียงแต่มองหางานทำ" สวัสดีค่ะ                                           

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

อะไรต้องใช้ก่อนกำไร.. (เกิด) ?

ขึ้นชื่อว่าธุรกิจ ย่อมต้องมีการลงทุน และการลงทุน ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ ย่อมไม่ได้มาฟรีอย่างแน่นอน ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่า ต้นทุนนั้นๆ เป็นอะไร สำหรับธุรกิจ MLM แล้ว ดิฉันขอแบ่งต้นทุนออกเป็น 3 ประการดังนี้ ที่คุณต้องจ่ายเพื่อให้เกิดความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย  แน่นอนค่ะทุกคน การที่คุณทำธุรกิจเครือข่าย หรือธุรกิจอื่นๆอะไรก็ตาม ย่อมต้องมีการลงทุน เพื่อให้เกิดความำเร็จในธุรกิจ และในวันนี้ค่ะ แน่นอนการลงทุนเพื่อความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายเนี่ย มี 3 สิ่ง ซึ่งคุณจะต้องจ่ายเพื่อให้เกิดความสำเร็จ
ประการแรกคือ " เงิน "
ซึ่งเป็นที่แน่นอนค่ะ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่ใช้เงินลงทุนแล้วจะสำเร็จ ถ้าไม่ใช้เงินลงทุนก็จะทำธุรกิจไม่ได้ เพราะฉะนั้นสำหรับการเริ่มตันในธุรกิจเครือข่าย หรือธุรกิจอะไรก็ช่าง ไม่เริ่มที่การลงทุนด้วยเงิน ผลกำไรย่อมไม่งอกเงย แต่เพื่อสภาพคล่องในการทำธุรกิจเราต้องจัดสรรทุนหรืองบประมาณไว้บ้าง  พร้อมแล้วค่อยลงทุนก็ยังไม่สาย

ประการที่สองคือ " เวลา "
โอ้ว! ธุรกิจของคุณจะรุ่งหรือจะร่วงอยู่ที่การเอาใจใส่ ให้เวลากับมันเหมือนมันเป็นชีวิตจิตใจของคุณเลยก็ว่าได้ ต้องมีความตั้งใจทำและจดกับมัน ทั้งสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุณต้องการ เพราะฉะนั้นต้องจัดเต็ม 100 % ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงสำเร็จเร็วตามที่กำหนดไว้ทุกประการ

ประการที่สามคือ " การเรียนรู้ " 
นอกจากการลงทุนในส่วนที่จับต้อง(เงิน)ได้ก็แล้ว ดิฉันคิดว่า นอกจากการใส่ใจให้เวลาก็แล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในการทำธุรกิจ MLM นี้นะค่ะ นั่นก็คือ การเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้นี่แหละคือ การพัฒนาศักยภาพในตัวของคุณ หรือทักษะในการทำธุรกิจเครือข่ายของคุณ ยิ่งคุณมีความรู้หรือทักษะในการทำธุรกิจเครือข่ายมากเท่าใด โอ้ว! นั่นย่อมหมายความว่า รายได้ของคุณย่อมสูงขึ้น หรือเท่ากับระดับทักษะการทำงานดีมากขึ้นตาม และแน่นอนหากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดในธุรกิจเครือข่ายคุณต้องเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ต้องเวลา ดิฉันกล้ารับรองได้ว่า ทั้งเงิน ตำแหน่ง อิสรภาพจะตกอยู่ในมือของคุณอย่างแน่นอน
ขอเน้นย้ำก่อนจบเรื่องต้นทุนในวันนี้ว่า จงจัดการบริหาร 3 อย่างนี้ให้ดี ให้เป็น ให้เก่ง แล้วชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นตาม และประสบความสำเร็จได้ดังใจหวังทุกประการ

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเสี่ยงหมายเลข 1 ตอนที่ 2

ความเสี่ยงไม่เคยปราณีใคร หลังจากที่ได้พบกับปัญหาแล้ว นักธุรกิจที่ทำอยู่ก็มีการตัดสินใจเลิกทำธุรกิจนี้  และได้คุยกับเพื่อนๆ ที่ทำงานประจำ คุยกับเพื่อนๆ บางคนที่เรียนจบปริญญาโท-เอก ได้เห็นรูปเพื่อนๆเหล่านี่ใน Socila Media พบว่า เพื่อนแต่ละคนมีงานประจำทำที่มั่นคง  ไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรือเอกชน  มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี  บางคนการงานก้าวหน้าบริษัทหรือทางราชการส่งไปดูงาน ไปทำงานที่เมืองนอก  มีรายได้ที่ดี บางคนมีเงินเก็บจากงานประจำ ไปเปิดกิจการส่วนตัวก็มี บางคนทำงานราชการสักระยะหนึ่ง แล้วมีโอกาสไปทำงานต่อกับบริษัทเอกชนชั้นนำที่เมืองนอก”  ทำให้ย้อนกลับมาคิดถึงว่า หากเรียนต่อระดับปริญญาโท ก็คงมีอนาคต และมีอาชีพการงานที่ดีแล้ว ไม่ต้องเป็นคนตกงานไร้อาชีพและหมดอนาคต
ดังนั้น ขอเน้นว่า (เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการทำธุรกิจ MLM นี้)
1. หากมือใหม่หัดทำมีเงิน ให้เก็บไว้ลงทุนเรียนต่อดีกว่าเอาเงินไปเป็นค่าเข้าประชุม หรือแรลลี่ต่างๆ
2. เวลาที่มี นำไปใช้พัฒนาความรู้ด้านการศึกษาดีกว่าเอาเวลาไปเปิดซีดี ดูวีซีดีผู้นำฟัง
3. เวลาและเงินที่มี ให้เอาไว้หาความรู้ด้านอื่นๆ หรือเอาไว้ลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรวยด้วยธุรกิจนี้
    เสมอไป
4. อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟังและอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนทำธุรกิจนี้มาก เพราะเขาเหมือนเป็นเมฆก้อนโตมาปิดบังหน
    ทางชีวิตทางอื่น ที่เราอาจจะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ใครก็ตามที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาแล้ว เขาจะคบไว้ทำไมให้เสียเวลา นั่นเป็นตัวอย่างคนหนึ่งที่ได้รับรู้มาว่า เขาถูกทอดทิ้ง
คำเตือนสุดท้าย  ขอเตือนว่า ถ้าใครได้เข้าไปสนิทสนมกับกลุ่มคนในธุรกิจ MLM นี้แล้ว ไปพบเจอคนไม่ดีก็จะถูกล้างสมอง จะถูกกระตุ้นว่า ตนเองทำได้ ประสบความสำเร็จระดับสูงได้ ถ้าโลภมาก  คนๆนั้นก็จะลุยทำธุรกิจนี้อย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่เผื่อหนทางที่จะล้มเหลว หรือโดยไม่คิดถึงความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกเว้นแต่เจอคนดีดี ที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น และก็ไม่ได้อยุ่ในรูปแบบเดิมๆ ก็ยังพอไหว เดี่ยวนี้มีรูปแบบใหม่ที่ดี กับ คนดีดีก็ยังมีนะ
ประสบการณ์ชีวิตจากธุรกิจ MLM อยากบอกว่ามี 2 มุมเสมอ ดังนั้น เพื่อเป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ เป็นอุทาหรณ์ ไม่ให้ หลง เดินตามทางซึ่งจะนำมา ซึ่งความล้มเหลวของชีวิต เพราะการให้คำแนะนำนี้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มีค่าเหมือนได้ช่วยชีวิตคน ให้รอดพ้นจากทางอันตรายหรือหลุมพรางที่กำลังจะเดินไป อย่าบ้าคลั่งทำธุรกิจ MLM นี้อยู่ เมื่อไม่ใช่ ก็ถอนตัวไปเสียดีกว่า เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้หมด 

ความเสี่ยงหมายเลข 1 ตอนที่ 1

ความจริงของความเสี่ยงที่แท้จริงในธุรกิจ MLM มันมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ยิ่งมีข้อดีมาก ผลตอบแทนมาก ข้อเสียยิ่งต้องมีมากและกว้างขวาง  แต่ข้อเสียเหล่านี้ ใครละ จะออกมาพูดหน้าเวที ให้ตัวเองสูญเสียลูกค้าหรือขาดรายได้ไป ดิฉันเลยขอเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นคนหนึ่งที่บอกถึง ข้อเสียของธุรกิจนี้ เมื่อใครบางคนต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไปจุดประสงค์ที่ดิฉันเขียนถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คือ เพื่อเตือนนักธุรกิจมือใหม่หัดทำ ประเภทนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่หรือกำลังจะจบการศึกษาว่า “ไม่ใช่ใครก็ตามที่เดินทางนี้มาแล้วจะสำเร็จได้ทั้งหมด ทั้งๆที่บางคนเป็นคนฉลาด เรียนเก่ง ทำงานคล่องแคล่ว มีเพื่อนเยอะ มีความมั่นใจสูง แถมด้วยผู้นำระดับสูงในธุรกิจนี้หลายคนชมด้วยความมั่นใจว่า “เป็นคนทำงานในธุรกิจนี้ได้ดี เก่ง (เช่น สาธิตสินค้า พูดแผนการตลาด เป็นพิธีกร แนะนำธุรกิจแก่คนใหม่ เป็นต้น) และสามารถทำธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จระดับสูงได้ เลยยิ่งตั้งใจทำธุรกิจนี้มาก แต่กระนั้นก็ทำธุรกิจนี้ไม่สำเร็จ เพราะตัวขาดประสบการณ์ชีวิต ไม่ทันกับคำชมที่หลอกล่อให้เราทำงาน และที่สำคัญ ขาดความคิดเผื่อหนทางที่จะล้มเหลว สิ่งที่ดิฉันอยากจะบอก คือ ความเสี่ยงที่แท้จริงของธุรกิจนี้ ต้องเสียอะไรไปบ้าง เมื่อไม่คิดเผื่อหนทางที่จะล้มเหลว ก็ต้องเสียอนาคตที่สดใส เสียโอกาสมีงานทำในงานประจำซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคง เสียเวลาและความรู้ที่ได้เรียนมา  เสียโอกาสในการเรียนต่อระดับสูง เสียความมั่นใจในการดำรงชีวิต เสียเพื่อนๆที่รู้จัก เสียโอกาสและหนทางชีวิตทางอื่นๆ
 เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ดิฉันจึงอยากฝากชีวิต และประสบการณ์ให้น้องๆ มือใหม่หัดทำได้รับรู้ เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง เพราะว่า คนที่ทำธุรกิจนี้  เขาเคยออกมายืนหน้าเวทีแล้วบอกว่า ถ้าคุณทำไม่สำเร็จแล้ว จะเสียอะไรบ้างหรือเปล่า ไม่มี ผู้นำระดับสูงบอกว่า ธุรกิจนี้จะช่วยสร้างคน พัฒนาคนให้เป็นผู้นำ นี่แสดงให้เห็นว่า วัตถุดิบของธุรกิจนี้ คือ คน แต่หากเมื่อคนเหล่านี้ ไม่ได้เป็นวัตถุดิบชิ้นเอกที่สามารถหาลูกค้าต่อๆไปได้ล่ะ คำกล่าวที่ว่า เราจะช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จก่อน  แล้วเราจะประสบความสำเร็จตาม จะยังเป็นความจริงอยู่หรือ
ผู้นำระดับสูงบางคน เขาเคยคิดบ้างไหมว่า คนที่ต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่เลิกทำธุรกิจนี้ไปจะเป็นอย่างไร  หรือเขาเพียงคิดว่า  ต้องหาคนใหม่เข้ามาในระบบ เพื่อมาเป็นวัตถุดิบทดแทนคนเก่าที่เลิกทำธุรกิจนี้ไป ระบบนี้มีวัตถุดิบ คือ คน หากวัตถุดิบนั้น  ไม่สามารถเป็นวัตถุดิบชิ้นเอกที่สามารถทำงานจนประสบความสำเร็จไปได้ละ  เขาก็แค่เปลี่ยนวัตถุดิบ เปลี่ยนคนใหม่เท่านั้นเอง โดยทอดทิ้งเราไป นี่แสดงให้เห็นว่า มันคือการทำลายอนาคตและความหวังของคน โดยใช้ความหวังล่อให้ทำงาน  แต่เมื่อเข้ามาทำงานไประยะหนึ่ง  แล้วไม่สามารถทำงานจนประสบความสำเร็จได้  ก็แค่ใช้ความหวัง รางวัล รายได้ไปหลอกล่อคนใหม่เข้ามาสู่ธุรกิจเท่านั้นเอง ดังนั้นผู้นำคนนั้นจึงมีรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง เปรียบเทียบกับระบบงานอื่น  หากต้องการเลิกจ้างพนักงาน สังคมก็มีกฎหมายรองรับผู้ถูกเลิกจ้างให้ได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น แต่ในธุรกิจ MLM นี้ หากผู้ร่วมทำธุรกิจไม่มีความสามารถเหมาะสม ก็เพียงไม่ใส่ใจเขาและหาคนใหม่มาทำงานแทน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย ช่างเป็นธุรกิจที่ทำลายคนอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่คิด สิ่งที่หวัง สิ่งที่ฝัน

สิ่งที่คิด...
ก่อนได้มาทำธุรกิจ MLM นี้ สิ่งที่คิดไว้ ไม่เคยมีคำว่า " MLM " มาอยู่ในหัวสมองเลย มีแต่ทำงานๆ ทั่วไป สมัยนั้นคิดอยู่อย่างเดียวคือ ขอให้มีงานทำ มีชีวิตที่ดีขึ้น งานอะไรก็ทำหมด เงินค่าจ้างเท่าไหร่ก็ยอม เมื่อเวลาผ่านไป จากเดือนเป็นปี ผ่านมาหลายปี ชีวิตก็เหมือนเดิม แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องกลับมานั่งมองตัวเราอีกมุมหนึ่งว่า ทำไม...ทำไมชีวิตของเราจึงเหมือนเดิม มีอยู่เหตุผลเดียวก็คือ เพราะเราไม่ได้คิดใหม่ ในการทำให้ชีวิตเราดีขึ้น จนกระทั่งได้มารู้จักธุรกิจ MLM ธุรกิจที่ไม่ได้มีแค่การซื้อสินค้า ขายสินค้า เขียนแผน อบรม แต่มันมีคุณค่ามากกว่านั้น ทั้งนี้ อยุ่ที่ใครจะคิดได้ในแง่มุมไหน ดิฉันเริ่มเห็นความจริงบางอย่าง จากงานในธุรกิจนี้ มันสามารถทำให้ดิฉันเปลี่ยนแปลงไปได้ ก็เลยทำให้ได้แนวความคิดใหม่ๆ ทั้งจากเพื่อนๆ ร่วมธุรกิจ จากผู้นำ รวมถึงจากอาจารย์ผู้เป็นโค้ชที่ดี ตอนนี้มุมมองจากความคิดได้เปลี่ยนไปมาก ยอมรับจริงๆ ว่าสิ่งที่คิดไม่เหมือนเดิมแล้ว ยอมรับว่าธุรกิจนี้ ทำให้ได้สิ่งที่คิดเป็นจริงได้ เช่น รายได้ที่ดีขึ้น การทำงานที่สบายกว่าเดิม เพื่อนที่ดี การช่วยเหลือกัน น้ำใจ และอะไรอีกมากมาย

สิ่งที่หวัง...
เมื่อความคิดได้ ความหวังก็เริ่มมีความชัดเจน จากสิ่งที่คิดแล้วเป็นจริง ความหวังที่จะได้บ้านใหม่ รถใหม่ สิ่งของอะไรใหม่ๆ ก็เริ่มได้มาทีละอย่าง โอ้..มันช่างมหัศจรรยืจริงๆ ลองขอให้เราอยู่ในกฎเกณฑ์ของธุรกิจ ทำประจำ เรียนรู้อยู่เสมอ อย่าคิดแค่ว่าเป็นงาน ต้องคิดว่ามันเป็นความสุข เมื่อได้ทำงานนี้ทุกครั้ง เราเหมือนได้ช่วยเหลือคน ได้ให้โอกาสคน ได้มีการพัฒนาตัวเอง เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว อะไรๆ ก้ตามที่เกิดขึ้นตามมาก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีตลอด แบบเป็นธรรมชาติเลย

สิ่งที่ฝัน...
การฝันเป็นสิ่งที่ดี แต่ฝันจะดีมาก และเป็นจริงไหม ตรงนี้..อยู่ที่เราต้องวางแผน และดำเนินการทำให้เป็นจริงขึ้นมา มีคนเคยบอกว่า ฝันจะเป็นจริงได้ ต้องกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะตัดสินใจทำ กล้าที่จะแสดงออกถึงความฝันนั้น ด้วยการไปหา การไปสัมผัส การไปเรียนรู้ถึงกระบวนให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา แล้วนำไปสร้างให้กลายเป็นรูปธรรม " ฝันที่เป็นจริง "  มีคนเคยทำได้มาก หรือน้อย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการตัดสินใจ หากใครตัดสินใจทำได้เลย ฝันนั้นก็เป็นจริงมาก แต่ถ้าใครยังมีข้อแม้ก็เกิดขึ้นน้อย เอาง่ายๆ ขอให้คิดฝันก่อนดีกว่า แล้วทีนี้จะได้ดีไหม หรือไม่ได้ดี ค่อยมาดูกันถึงวิธีการทั้งหมด

สิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะฝันอย่างไร หวังอย่างไร คิดอย่างไร ทั้งหมด ขอให้อยุ่บนพื้นฐานของความดี ความสุข ความสบายใจเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ผลที่ออกมาได้รับสิ่งต่างๆ นั้นเป็นความสำเร็จก็เพียงพอ

ธุรกิจที่รัก...ในมุมของฉัน

มันเรียกว่าเป็นความรู้ และประสบการณ์ใหม่ของการทำงานที่มีมาไม่นานมาก แต่ก็อยากจะขอแชร์ความเห็นบางอย่างสักนิดหน่อยสู่กันฟังถึงเรื่องว่า ธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร เพราะธุรกิจเครือข่าย ซึ่งเราๆ ท่านๆ ได้ฟังชื่อมามากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น MLM , Network , งานโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต หรืออื่นๆก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความซับซ้อน จนนำไปถึงการซ่อนเงื่อนอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งผู้ที่เข้ามาสู่วงจรนี้ส่วนมากมักประสบปัญหาในด้านต่างๆ เช่น ทุนทรัพย์ที่ใช้ทำงาน , เวลา  และอื่นๆ ซึ่งดิฉันขอให้แนวทางการพิจารณาเรื่องที่ว่า จะเป็นธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ดีหรือไม่ ขอแบ่งออกเป็นหัวข้อดังนี้
1. บริษัทที่ดำเนินการ
อันนี้คงต้องเริ่มจากการดูถึง ระยะเวลาในการดำเนินกิจการของบริษัทนั้นๆ ซึ่งถ้าหากเพิ่งเกิดใหม่ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูง หากดำเนินธุรกิจมานานก็ย่อมแสดงถึงความมั่นคงของบริษัทในด้านหนึ่ง และอื่นๆอีก หากเป็นไปได้ก็หมั่นเข้าบริษัทนั้นและที่อื่นๆ เพื่อศึกษาหาข้อมูล ให้รอบด้านก่อนจะตัดสินใจร่วมงาน เพราะมิใช่นั้นแล้วจะทำให้ท่าน เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา อารมณ์ เครดิตกับผู้อื่น และแม้กระทั่งบางท่านก็เสียครอบครัว

2. ลักษณะสินค้าหรือบริการ
ส่วนใหญ่สินค้าที่ผู้คนนิยมเข้าสู่ธุรกิจก็คงจะเป็นสินค้าแนวอินเทรนด์ ยกตัวอย่างเช่น สินด้าด้านสุขภาพ อนามัย และนี้เองที่ชอบสร้างปัญหากับการดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง เพราะสินค้าประเภทนี้มักจะตกเทรนด์กันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการเลิกใช้ของผู้บริโภค นั่นคือรวมถึงเหล่าสมาชิกธุรกิจ และอาจจะรวมถึงความจำเป็นที่ไม่มากพอ ในขณะที่ราคาค่อนข้างสูง อันนี้ต้องระวัง ดังนั้นสินค้าที่ควรค่าแก่การสนใจคงจะต้องเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องบริโภค และควรมีแนวโน้มในการขยายตัวของความต้องการ สิ่งต่ิอไปที่ต้องพิจารณาคือ ราคาของสินค้านั้น สูงหรือไม่ หากเราสามารถเปรียบเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาดทั่วไป ไม่ใช่แค่เทียบใกล้เคียงกับสินค้าในธุรกิจเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น

3. แผนรายได้ของแต่ละบริษัท
อยากจะขอเหมาได้เลยว่า เืกือบทุกท่านไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งอย่างแน่นอน ถึงสิ่งที่ซ่อนไว้อยู่ภายในแผน เพราะท่านไม่ได้มีความสามารถในด้านการวางแผนธุรกิจ หรือเขียนแผน ซึ่งในส่วนตัวเลขทางการเงื่อนที่ซับซ้อนและทับซ้อนของระบบเครืือข่ายนี้เป็นที่ยุ่งเหยิงอยู่พอสมควร ยิ่งถ้าจะว่าไปแล้วเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายมักจะมีความเกลียดกับการมานั่งคิดคำณวนตัวเลขที่เป็นโจทย์ หรือสมการที่จะต้องหาที่มาที่ไป และบทสรุป ดังนั้น ดิฉันอยากจะกล่าวว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ท่านได้รับฟังจากผู้ชักชวนหรือแนะนำไปเสีย ทั้งหมดหรอกค่ะ แต่เรามักจะเอาสิ่งที่เขาสรุปมาเป็นตัวเลขที่ดูสวยหรู และดูจะง่ายดายมาเป็นคำตอบแทนการนั่งคิด แม้ในบางบริษัทที่รู้ถึงปัญหานี้ว่าที่ผ่านมามันสร้างความล้มเหลวให้กับสมาชิก จนทำให้คนจำนวนมากขยาด จึงนำมาปรับกลยุทธว่า มีการสอนผ่าแผนเพื่อให้เราเชื่อมั่น ซึ่งอันที่จริงมันก็อาจจะเป็นเพียงเปลืกนอกของตัวเลขเท่านั้น อีกสิ่งที่ยังต้องดูของแผนรายได้ก็คือ ตัวเลขมันมากจนล่อน้ำลายเรามากหรือไม่ ถ้ามาก แสดงว่าท่านมีความเสี่ยงสูง ที่จะมีโอกาส ล้มเหลวกับธุรกิจนั้นๆ หรือ ธุรกิจนั้นๆจะไม่ยั่งยืน เพราะมันทำเป็นลักษณะงูกินหางไปจนถึงทางตัน นั่นหมายถึงธุรกิจนั้นเข้าข่ายเป็นสิ่งที่เรารู้จักหรือคล้ายกันในนามว่า “แชร์ลูกโซ่”

4. ผู้นำ หรือผู้แนะนำ
อันนี้คงต้องบอกว่ามีส่วนสำคัญมิใช่น้อยเลย เพราะมีมากมายที่ ผู้เข้าสู่ธุรกิจนี้มีผู้นำหรือผู้แนะนำ ที่ยังมีความสามารถ วิสัยทัศน์ โดยเฉพาะน้ำใจและคุณธรรม ไม่ดีพอ ไม่เข้าใจถึงการให้ การรับ การเรียนรู้ที่ดีพอ ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถดำเนินงานของเราได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพได้ หากผู้นำปล่อยให้เราหากินเอง ทำงานเอง ช่วยตัวเองทุกอย่าง แล้วหลายๆท่านที่ไม่ได้มีความรู้ ความสามารถบางอย่างที่ควรมี เพื่อไปสร้างความสำเร็จได้ ก็ย่อมจะล้มอย่างไม่เป็นท่า และก็หันหลังหนีธุรกิจนี้ไป
ดังนั้นหากท่านได้คนที่คอยให้คำแนะนำท่านได้ ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ที่จะไปสร้างความสำเร็จได้ ก็นับว่าโชคดีไปครับ ทุกวันนี้การแข่งขันสูง เทคโนโลยี่สูง ก้าวหน้า ทันสมัย จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีความรู้ หรือ เครื่องมือที่เหมาะสมกับการสร้างความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ด้านการใช้อินเตอร์เน็ตในการทำการตลาด หรือ แม้กระทั่งความรู้ในการสร้างสื่อ อย่างเว็บไซต์ การสร้างโฆษณาด้วยตนเอง ความรู้ด้านการตลาดและการขาย

หลายๆ ท่านมักจะเกลียดคำว่า “การขาย” จนทุกวันนี้เขาจึงใช้คำพูดอย่างอื่นมาทดแทน ซึ่งอันที่จริงแล้ว สำหรับดิฉันถือว่า… การกระทำอันใดเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงิน หรือผลประโยชน์ที่มีมูลค่า นับเป็นการขายทั้งสิ้น ดังนั้นอย่ากลัวที่จะขาย..ในสิ่งที่ดี และก็ไม่มีงานขายใดที่จะใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 ชม. ก็สร้างความสำเร็จให้ท่านได้รับผลประโยชน์หรือเงินมากมายได้ หากท่านเป็นผู้เพิ่งเริ่มต้น และหากท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว และอยู่ในฐานะผู้นำ หรือผู้แนะนำ ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำที่ดี สืบต่อกันเป็นเครือข่ายให้เป็นวัฒนธรรมที่ดี จงอดทน แข็งขยัน มานะ และเปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ นั่นละค่ะ..ท่านจะก็ได้ทั้งความสำเร็จและความยั่งยืนตลอดไปเหมือนที่เป็นธุรกิจที่ฉันรัก